สำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับทราบ
เข้ารับการรักษา หรือ จบการรักษาแล้ว หรือ อยู่กับโรคระยะหนึ่งแล้ว
ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเริ่มยอมรับความจริงได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้จะไม่ต้องการกำลังใจ
การให้กำลังใจด้วยการคำพูด อาจถึงเวลาที่เหมาะสม คำพูดที่ใช้ในการให้กำลังใจควรส่งเสริมพลังทางบวกแต่พึงระวังไว้ว่าอย่าตัดสินใจแทน หรือพูดในสิ่งที่ฟังดูแล้วมันจับได้ว่าเป็นการโกหกเกินจริง เช่น "หายแน่นอน หายชัวน์" ซึ่งมันสวนทางกับความเป็นจริง อาจอ่านเพิ่มเติมจากบทความ 8 สิ่งที่ไม่ควรพูดกับผู้ป่วยมะเร็ง อาจทำให้คุณมีวิธีการพูดที่ดีขึ้น แต่ตัวอย่างการพูดที่ให้กำลังใจผู้ป่วยที่มาดามได้พบเจอ ฟังแล้วรู้สึกค่อนข้างสบายใจ ก็อย่างเช่น
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราบางทีเราก็กำหนดไม่ได้ แต่สิ่งที่เรากำหนดได้คือการรักษา เป็นแล้วก็รักษา วิธีการรักษาก็ยังมี ไม่ใช่หมดหนทางรักษา ตราบใดที่คุณหมอยังสู้ไปกับเรา เราก็ต้องสู้ไปกับคุณหมอ
สิ่งที่เราได้อยู่
เป็นอยู่ หรือ ได้รับ ไม่มีเหตุบังเอิญ ทุกอย่างเกิดขึ้นมีเหตุมีผลของมัน
เราไม่รู้หรอกว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าตอนนี้ วันนี้ เราป่วย
เราต้องรักษา และต้องดูแลตัวเอง
คนอื่นที่เป็น คนที่รักษาแล้วหาย มีเยอะแยะ แล้วก็ยกตัวอย่าง คนนั้น คนนี้ เป็นเคสหรือราย ๆ ไป หรือ ยกตัวอย่าง ประสบการณ์ชีวิต ข้อคิดของผู้ป่วยมะเร็งท่านอื่น นำมาเล่า เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ป่วย ให้แข็มแข็งและมีความหวังกับการรักษา ในส่วนนี้สามารถหาข้อมูลได้ในหลายส่วนเอาเป็นว่า มาดาม ขอหยิบยกตัวอย่างบางส่วน เช่น บทความ ฉันรอดจากมะเร็งเพราะรอยยิ้ม และ How to สู้มะเร็ง
แต่ถ้าไม่ถนัดในการให้กำลังใจประเภทนี้ อาจชวนพูดคุยเรื่องอื่น ผ่อนคลายความเครียดไป เพราะบางครั้ง การพูดแต่เรื่องของโรคที่เป็น ก็ก่อภาวะเครียดให้ได้มากทีเดียว บางทีผู้ป่วยกลุ่มนี้โดยส่วนใหญ่จะเปิดใจยอมรับในธรรมะ และกฎแห่งกรรม ได้ดี อาจพาเข้าร่วมกิจกรรมธรรมะ เข้าวัดปฏิบัติธรรม หรือทำบุญ ก็จะทำให้เกิดความสงบ และสบายใจกับผู้ป่วยได้ดี ในเรื่องนี้อยากให้คุณผู้อ่านไปอ่านบทความที่มาดามอ่านเจอ แล้วรู้สึกว่่าดีต่อผู้ป่วย และผู้ใกล้ชิดผู้ป่วย บทความเรื่อง ธรรมะกับโรคมะเร็ง สิ่งที่ไม่ไกลแค่ใช้ใจมอง อ่านดูแล้วรู้สึกสบายใจทีเดียว
แต่ผู้ป่วยกลุ่มนี้บางคน ก็ยังกลัวที่จะอยู่คนเดียว
ฉะนั้น การปล่อยให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียวนาน ๆ หรือ ตลอดเวลา
ก็ยังเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
อีกเรื่องที่พึงระวังในการให้กำลังใจผู้ป่วย เห็นใจได้ แต่อย่าเวทนา เพราะผู้ป่วยทุกคนต้องการกำลังใจ ความเห็นใจ และความช่วยเหลือในบางเรื่อง แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะห้ามแล้วไม่ให้คนป่วยมะเร็งทำ เพราะบางครั้งการทำแบบนั้นจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไร้ค่า และยิ่งซึมเศร้ายิ่งขึ้น สิ่งใดที่ผู้ป่วยอยากทำ ทำแล้วมีความสุข มีความสามารถทำได้ ก็ต้องให้ผู้ป่วยทำเองบ้าง เพื่อให้ผู้ป่วยมีความสุขและรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง และจุดสำคัญ คือ แววตา หากคุณจ้องมองผู้ป่วยด้วยแววตาให้กำลังใจ เห็นใจ ผู้ป่วยก็จะรู้สึกได้ แต่หากคุณมองผู้ป่วยด้วยแววตาเวทนา ผู้ป่วยก็รู้สึกได้เช่นกัน และเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยเกือบจะทุกคน “ไม่ชอบเลย”
ผู้ป่วยมะเร็งบางกลุ่มอาจมีความกังวลใจในเรื่องอื่นเพิ่มเติม นอกจากความกังวลในโรคของตนเอง เช่น เรื่องปัญหาครอบครัว หรือแม้กระทั่งการเงิน ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่จะประสบปัญหานี้ มาดามก็ได้เขียนเล่าไว้ใน มะเร็งต้องจ่าย เปิดค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการรักษามะเร็ง เป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้ป่วยมะเร็งต้องพบเจออย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงมีผู้ป่วยมะเร็งจำนวนไม่น้อยที่เครียดกับเรื่องนี้ และต้องการกำลังใจเป็นอย่างมาก ดังนั้น หากเป็นคนใกล้ชิด ช่วยเหลือแบ่งเบาได้ ก็ควรช่วยเหลือ แต่หากไม่ใช่คนใกล้ชิดสนิทสนม ก็เพียงแต่รับฟังปัญหา เพื่อให้ผู้ป่วยได้ระบาย ก็เห็นจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
การให้กำลังใจคนป่วยมะเร็ง เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน และมีผลต่อจิตใจผู้ป่วยเป็นอย่างมาก ในฐานะที่มาดามเป็นคนป่วยมะเร็งคนหนึ่ง ขอเป็นตัวแทนในการบอกเล่า หากคุณยังเกรงว่าไม่สามารถทำได้ ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแค่ มอง และยิ้มด้วยความจริงใจ จากส่วนลึกของจิตใจ ก็เป็นการให้กำลังใจที่มีค่าที่สุดแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น